วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมทดสอบกลางภาคเรียน


1.บทความเรื่อง ความเป็นครูของพระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

วารสารทักษิณ

1.ข้อสรุปที่ได้จากบทความ
           ความเป็นรูของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่าน
ทรงเป็นรูแห่งแผ่นดินหรือ รูของแผ่นดิน ท่านทรงสอนเรื่อง
แผ่นดิน สอนให้รู้จักและเข้าใจดินน้ำลมไฟ สอนให้รู้จักชีวิต สอนให้
รู้จักการใช้พฤติกรรมในการทำประโยชน์ให้กับผ้อื่น และความเป็นครู
ของพระองค์ท่านคือท่านทรงทำให้ดูและรับสั่งอย่ลอดเวลา เป็นครู
ที่พยายามจะจงใจนักเรียนให้มาสนใจ พระองค์ท่านทรงใช้ปัญญา
และเหตผลเป็นเครื่องนำทางในการใช้ชีวิต และท่านจะใช้ความดี 
ความถกต้องเป็นฐานในการปกครองแผ่นดินของพระองค์ท่าน
เป็นความเรียบง่ายที่เข้าถึงแก่นของชีวิตและจิตใจที่แท้จริง

2.ถ้าท่านเป็นรูผู้สอนท่านจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์กับการเรียนการสอนได้อย่างไร

               ข้าพเจ้าจะนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนโดยการนำความรู้ที่เกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง  หลักการใช้เหตุผลใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทางในการใช้ชีวิ  การแก้ปัญหา  และการรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรปลูกฝังให้แก่นักเรียน 

3.ในฐานะที่นักศึกษาจะเป็นครูในอนาคตจะออกแบบการเรียนการสอนที่ที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างไร
                    ออกแบบการเรียนการสอนโดยนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้  คือ  ต้องให้นักเรียนเข้าใจว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ




2.บทความเรื่อง วิถีแห่งสตีฟ จ๊อบ (วารสาร

ศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรอ่านหน้าที่

125-128)

1.ข้อสรุปที่ได้จากบทความ
          
       สตีฟ จ๊อบส์ คือ เป็นคนมีความพากเพียรพยายาม  ขยัน  และตั้งใจที่จะทำสิ่งที่คาดหวังให้บรรลเป้าหมาย   เค้าอาจเป็นคนที่มีการศึกษาไม่สูงนักแต่ฉลาดและน่าสนใจเขาได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นจากมันสมองอัญชาญฉลาดของเขาสิ่งที่สร้างนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากปาฏิหาริย์ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากมันสมองและสองมือของมนุษย์ที่ผ่านกระบวนการฝึก ศึกษา พัฒนา และใช้ปัญญากว่าเขาจะมาถึงวันนี้เข้าต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆๆมากมายแต่ก็สามารถพ้นผ่านมาได้จนได้ จนกลายเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


2.ถ้าท่านเป็นครูผู้สอนท่านจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์กับการเรียนการสอนได้อย่างไร
ข้าพเจ้าจะนำความรู้ที่มีทั้งหมดนำไปถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์โดยที่จะไม่หวงวิชา โดยใช้การสอนที่ทำให้นักเรียนทุกคนแสดงความสามารถของแต่ละคนออกมาให้ได้และทำให้เขารู้ว่าเขามีความถนัดด้านใด
ก่อนที่จะสอนจะสอบถามถึงความชอบและถนัดในวิชาที่เรียนและนักเรียนเสนอแนวคิดและสิ่งที่จะเรียนที่แตกต่างกันออกไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน และจะรักศิษย์ทุกๆคนเท่ากันไม่ว่าเขาจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ตามและจะคอยให้คำปรึกษาเวลานักเรียนมีปัญหาต่างๆ


3. ในฐานะที่นักศึกษาจะเป็นครูในอนาคตจะออกแบบการเรียนการสอนที่ที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างไร

สอนเรื่องความสามัคคี
   1.ค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องความสามัคคี
2.เรียบเรียงข้อมูลความสามัคคีที่จะนำมาสอน
3.เขียนจุดประสงค์การสอน
4.นำข้อมูลมาทำสื่อเรียนการสอน เช่น PowerPoint ใบความรู้แจกนักเรียน เป็นต้น
5.ทำ Mind Map เรื่องความสามัคคี
การสอน
1.นำเสนอสื่อการสอน PowerPoint เรื่องความสามัคคี
2.แจกใบความรู้นักเรียนเรื่องความสามัคคี
3.ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันแล้วให้สรุปสิ่งที่ได้รับแล้วให้ทำ Mind Map เรื่องความสามัคคี
4.นักเรียนนำเสนอ Mind Map เรื่องความสามัคคี หน้าชั้นเรียน
5.เมื่อนำเสนอเสร็จก็ให้บันทึกสิ่งที่ได้รับใบความรู้เรื่องความสามัคคี ที่แจกให้
6. ให้คะแนนความสามัคคีภายในกลุ่มจากการสังเกตของครูในแต่ละกลุ่ม


กิจกรรมที่ 7ให้นักศึกษาศึกษาดูโทรทัศน์ครู ให้เลือกเรื่องที่นักศึกษาสนใจมาคนละ 1 เรื่อง และ เขียนลงในบล็อกกิจกรรมของนักเรียน


1. สอนเรื่องอะไร  ผู้สอนชื่อ  ระดับชั้นที่สอน
เรื่อง...       การดูแลใส่ใจห่วงใยสิ่งแวดล้อม
ชื่ออาจารย์...         อาจารย์สชญา หล้าอินเชื้อ 
ระดับชั้น...  มัธยมศึกษาปีที่ 6

2. เนื้อหาที่ใช้สอนมีอะไรบ้าง
           เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เรียนรู้จากสถานการณ์จริง กับชุมชนที่เกิดปัญหาจริง ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ธรรมชาติของชุมชน เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับชุมชน ทำให้นักเรียนกล้าและสามารถดำเนินการได้เองเหมาะสมกับวุฒิภาวะของนักเรียน ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งการจัดกิจกรรมนี้ทำให้นักเรียนรู้จักคิดวางแผนการทำงานและประสานงานกับผู้อื่นได้ และครูสอนความเป็นประชาธิปไตยให้นักเรียนด้วยโดยการใช้เสียงส่วนใหญ่เลือกทำโครงการ เป็นการสอนที่ดีมากคับ
3. จัดกิจกรรมการสอนด้าน
 (สติปัญญา=IQ
         -ปลูกฝังและปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนรู้จักคิดรู้จักวิเคราะห์และการดแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับชุมชน 
         - ทำให้นักเรียนรู้จักคิดวางแผนการทำงานและประสานงานกับผู้อื่นได้  
 
อารมณ์=EQ, 
         - ทำให้นักเรียนมีความสนกสนานเพลิดเพลิน 
        - ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสนใจและมีความสขที่จะเรียนและทำกิจกรรม
            
คุณธรรมจริยธรรม=MQ)
         - นักเรียนเกิดความสามัคีช่วยเหลือในการทำงาน มีคณธรรมจริธรรม
        - ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ธรรมชาติของชุมชน เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับชุมชน ทำให้นักเรียนกล้าและสามารถดำเนินการได้เองเหมาะสมกับวุฒิภาวะของนักเรียน

4. บรรยากาศการจัดห้องเรียน เป็นอย่างไร
โทรทัศน์ครู

 บรรยากาศการจัดห้องเรียนมีความเหมาะสมโดยมีโต๊ะของคุณครูตั้งอยู่หน้าห้องเรียนซึ่งสามารถมองเห็นเด็กๆ ได้อย่างทั่วถึงและจัดให้เด็กนั่งเป็นกลุ่มๆ เพื่อสะดวกต่อการทำงานเป็นกลุ่ม บริเวณห้องมีพื้นที่ว่างพอสมควรไม่คัดแคบจนเกินไป  อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีสื่อการเรียนรู้ติดอยู่รอบๆ ห้องเรียนทำให้เด็กเกิดความสนใจและมีความสขกับการเรียน

กิจกรรมที่ 6ให้นักศึกษาเรื่องที่ตนเองสนใจ 1 เรื่อง แล้วถ่ายรูปเล่าเป็นเรื่องราว เป็นรูปภาพ เพื่อเป็นการนำเสนอในบล็อกต่อไปในคราวหน้า


  



                 

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรม 5 ครูที่ชื่นชอบ


   Uraiwan

  •         ชื่อ: นางอุไรวรรณ ศิวะกุล (สกุลเดิม ทัฬหพงศ์พันธุ์)
  •       
  •         ที่อยู่ปัจจุบัน: เลขที่ 35 อาคารวรรณสรณ์ ถนนพญาไท แขวงถนนพญาไท กทม. 10400
  •         
  •         โทรศัพท์ที่ทำงาน: (02) 306-0850-59
  •          
  •          สถานภาพสมรส: แต่งงาน คู่สมรสชื่อ นายอนุสรณ์ ศิวะกุล [(อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
  • ปัจจุบันผู้บริหารบริษัทวรรณสรณ์ และโรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์ (เคมี อ.อุ๊)]
  •        
  •           มีบุตร-ธิดารวม 2 คน:
    บุตรชาย: นายอกนิษฐ์พล ศิวะกุล
  •                     บุตรสาว: นางสาวอธิปพร ศิวะกุล 


1.ประวัติการศึกษาย่อ ๆ

       ระดับมัธยมศึกษา วุฒิ มศ. 3 เมื่อ พ.ศ. 2515 จากโรงเรียนสตรีระนอง
      
       ระดับอนุปริญญา วุฒิ ป.กศ.สูง (เอกวิทยาศาสตร์) เมื่อ พ.ศ. 2519 จากวิทยาลัยครูภูเก็
      
       ระดับปริญญาตรี วุฒิ กศ.บ. (เกียรตินิยมอันดับ 1) เมื่อ พ.ศ. 2523 จาก มศว. สงขลา
      
       ระดับปริญญาโท วุฒิ กศ.ม. (เคมี) เมื่อ พ.ศ. 2525 จาก มศว. ประสานมิตร

2.ประวัติการทำงาน ย่อๆ
การรับราชการ

      พ.ศ. 2519–2521 รับราชการที่โรงเรียนทับหลีสุริยวงศ์ จ.ระนอง จากนั้นลาออกจากราชการเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
        
          พ.ศ. 2526–2532 รับราชการที่โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ จ.กรุงเทพฯ
          
        พ.ศ. 2532–2537 รับราชการที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย จ.กรุงเทพฯ หลังจากนั้นลาออกจากราชการเพื่อประกอบธุรกิจส่วนตัว
การสอนกวดวิชา
         
        พ.ศ. 2525 เริ่มสอนกวดวิชาในขณะที่ศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโท เพื่อเป็นงาน พิเศษในขณะที่กำลังศึกษาอยู่
         
        พ.ศ. 2529–253เริ่มเปิดเป็นโรงเรียนกวดวิชาของตนเองครั้งแรก ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว
          
        พ.ศ. 2532–ปัจจุบัน เปิดเป็นโรงเรียนสอนกวดวิชา โรงเรียนวรรณสรณ์ ซึ่งมีสาขาทั้งสิ้น 20 สาขา ได้แก่
3.ผลงานของครูที่นักเรียนชอบ

ผลงาน


ด้านการสอน
           เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการสอนวิชาเคมี จนสามารถทำให้โรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์มีชื่อเสียงโด่งดัง ในนามที่ทุกคนกล่าวขานเรียกกันติดปากว่า "เคมี อ.อุ๊"
ด้านการเขียน
           ปริญญานิพนธ์เรื่อง "การศึกษาปริมาณของปรอทในไข่ไก่ และการถ่ายทอดปรอทไปยังลูกไก่"
    - เป็นผลงานที่ได้รับเลือกให้ได้รับทุนการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ มศว.ประสานมิตร
    - ได้รับคัดเลือกให้แสดงผลงานการวิจัยในการจัดนิทรรศการวิชาการ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
            งานเขียนตำรา ประกอบการเรียนการสอนวิชาเคมี ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
    รางวัล และ คำชื่นชมจากสื่อต่างๆ
โล่และเกียรติบัตร
            กระทรวงศึกษาธิการ  มอบโล่เกียรติคุณให้ไว้เพื่อแสดงว่า  สมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา  สนับสนุนนิทรรศการมหกรรมวันการศึกษาเอกชน  พ.ศ. 2553  ที่จัดโดยสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมกับ สมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย  ให้ไว้ ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์  2553         นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ มอบเกียรติบัตรให้แด่ อาจารย์อุไรวรรณ ศิวะกุล เพื่อแสดงว่า เป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนโครงการ “รินน้ำใจ ให้น้องชาวใต้ เสริมความรู้ สู่มหาวิทยาลัย” ร่วมปฏิบัติภารกิจโดยไปทำการสอนวิชาเคมีที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อพัฒนาศักยภาพทางวิชาการของนักเรียนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ไว้ ณ วันที่ 15 มกราคม 2549
            กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบประกาศเกียรติคุณแด่ อาจารย์อนุสรณ์ และอาจารย์อุไรวรรณ ศิวะกุล (เคมี อ.อุ๊) ผู้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา (บ้านราชาวดี) ให้ไว้ ณ วันที่ 7 กันยายน 2548
 4.นักเรียนประยุกต์สิ่งที่ดีของครูมาใช้ในการพัฒนาตนเอง

         เราสามารถนำแนวการสอน การเป็นแบบอย่างที่ดีของอาจารย์อุไรวรรณ ศิวะกุล  ประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการสอนในอนาคตได้ เพราะอาจารย์อุไรวรรณ ศิวะกุล เป็นอาจารย์ที่นักเรียนรักและเารพ รวมทั้งมีกลยทธ์ในการสอนทำให้นักเรียนมีความสขกับการเรียนและอาจารย์อุไรวรรณได้บอกกุญแจแห่งความสำเร็จนี้ว่า มี 3 ประการหลักคือ
        
        1. ผู้ที่จะเปิดโรงเรียนกวดวิชา ต้องมีความมุ่งมั่น คุณภาพการสอนเป็นอันดับ 1 เพราะผู้เรียนจะเป็นผู้ เลือก
        
        2. ต้องคิดถึงผู้เรียนเป็นหลัก บริการที่ให้ต้องพร้อมและคำเสนอแนะของนักเรียน ผู้ปกครองนำพัฒนาและปรับปรุง
        
        3. ต้องมีทีมงานที่ดี และต้องผูกพันกับทีมงานให้ได้มรู้ทั้งด้านวิชาการ และมีคุณธรรม จริยธรรม มีความเป็นครูดีเด่น


วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4 การทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ


1. แนวคิดหลักการทำงานเป็นทีม เป็นอย่างไร
·                 1.ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนในเหตุผลสำหรับการตัดสินใจ
2. วิเคราะห์ลักษณะของปัญหาที่จะตัดสินใจ
3. ตรวจสอบทางเลือกต่างๆ ในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาถึงผลที่อาจเกิดตามมาด้วย
4. การนำเอาผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ
6. ภาวะผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำ หรือ หัวหน้าทีมควรทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะประเด็นที่สำคัญในการทำงานตามบทบาทของผู้นำ 
7. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทำงาน ทีมงานที่ดีไม่เพียงแต่ดูจากลักษณะของทีม และบทบาทที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น 
8. การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพพยายามที่จะรวบรวมทักษะต่างๆของแต่ละคน การพัฒนาบุคลากรในองค์การมักจะมองในเรื่องทักษะและความรู้ที่แต่ละคนมีอยู่แล้ว ก็ทำการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงพัฒนาคนให้มีความสามารถสูงขึ้น อันจะมีผลดีในการทำงานให้ดีขึ้น

  2. นักศึกษาจะมีวิธีการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร  ยกตัวอย่างประกอบ
·       การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานที่ต้องการทำให้องค์การบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจขององค์การ
        2. ความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกในทีมจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แก้ปัญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ การแสดงความเปิดเผยของสมาชิกในทีมจะต้องปลอดภัย พูดคุยถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวังความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและอารมณ์ รวมทั้งความรู้สึก ความสนใจนิสัยใจคอ
3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกันโดยทีละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำให้เกิดการเปิดเผยต่อกัน และกล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี
4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำกลุ่มหรือทีมจะต้องทำงานอย่างหนักในอันที่จะทำให้เกิดความร่วมมือดังนี้
         5. กระบวนการการทำงาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม งานที่มีประสิทธิภาพนั้นทุกคนควรจะคิดถึงงานหรือคิดถึงผลงานเป็นอันดับแรก ต่อมาควรวางแผนว่าทำอย่างไร งานจึงจะออกมาดีได้ดังที่เราต้องการ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจุดมุ่งหมายควรจะมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคน ควรมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของการทำงานเป็นอย่างดี
ตัวอย่าง ในการทำงานกลุ่มแต่ละครั้ง เมื่อเราได้รับมอบหมายงานมา สมาชิกในกลุ่มก็มาประชุมกัน เพื่อวิเคราะห์งานว่างานชิ้นนี้เราจะต้องมีเป้าหมายในการทำงานอย่างไร เมื่อกำหนดเป้าหมายเสร็จก็จะต้องมีการวางแผนในการทำงานเพื่อกำหนดกิจกรรมที่จะทำแล้วก็จะแบ่งงานให้กับสมาชิกแต่ละคน เมื่อทุกคนในกลุ่มเห็นด้วยกับการประชุมครั้งนี้ก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติงาน ซึ่งในการทำงานสมาชิกทุกคนจะต้องมาร่วมกันประเมินผลและนิเทศงานของแต่ละคนซึ่งกันและกัน เมื่อเจอปัญหาก็จะต้องช่วยกันแก้ปัญหา และสุดท้ายเมื่องานเป็นไปตามแผนทุกคนในกลุ่มก็มาร่วมกันประเมินและรวบรวมงานออกมาเป็นที่สิ้นสุด



กิจกรรมที่ 3 การจัดการเรียนการสอน



1. การจัดการเรียนการสอน  จัดชั้นเรียน  เตรียมการสอน ในยุคศตวรรษที่ 21กับยุคก่อนศตวรรษที่ 21 เปรียบเทียบกันแตกต่างกันอย่างไร 
          
          - ยุคก่อนศตวรรษที่ 21  ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อม โดยมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีผลต่อภาคธุรกิจ  การศึกษา  สังคม  ซึ่งเน้นการให้ความสะดวกในด้านการบริหารจัดการ  และให้เกิดความคล่องตัวต่อการดำเนินงานไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน  จึงได้ว่างนโยบาย  e-Thailand ขึ้น  เพื่อเปิดประตูสู่การพัฒนาประเทศ  ทั้งนี้ได้เน้นนโยบายหลักทางด้านสังคม  เพื่อลดช่องว่างทางสังคม  เปิดเสรีทางการค้า  สนับสนุนการค้าอิเล็กทรอนิกส์  นโยบายระหว่างประเทศ  ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
แต่ยุคศตวรรษที่ 21 การจัดการศึกษาไทยในโรงเรียนเป็นหน่วยบริการทางการศึกษาในมิติที่กว้างขึ้น หลักสูตรการเรียนการสอนมีความเป็นสากลมากขึ้น และจะมีการพัฒนาทักษะการคิด  การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การสอนภาษาต่างประเทศ  และด้านการบริหารและการจัดการศึกษา  เน้นจะด้านการจัดพิมพ์เอกสาร  ทำฐานข้อมูลการประมวลผล  เพื่อจัดทำสารสนเทศทางการศึกษาสำหรับการประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารในทุกระดับ

2ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรในอนาคตที่ท่านจะเป็นครูยุดต่อไปข้างหน้า ให้สรุปตามแนวคิดของนักศึกษาคำถาม






      ในการเตรียมตัวเมื่อได้เป็นครูนั้น จะต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน เช่น
- มีความเป็นผู้นำ ที่มีวิสัยทัศน์ จะต้องเป็นผู้นำที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา  ไม่หยุด หมั่นศึกษาหาความรู้  ปรับตนเองเข้ากับสถานการณ์  ทันต่อเหตุการณ์เป็นพลวัต  โดยใช้วิธีการ  ระบบสารสนเทศที่ถูกต้องรวดเร็วและนวัตกรรม  ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่  เป็นเครื่องมือช่วยในการบริหารงาน” สามารถใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา คือการสื่อสารเพื่อการถ่ายทอดทางการศึกษาแก่ผู้เรียนด้วยสื่อ   เช่น   คอมพิวเตอร์  มัลติมีเดีย (สื่อประสม) ฯลฯ และผู้มีคุณธรรมตามแนวทางคำสอนของทุกศาสนาโดยทางเทคโนโลยีการกำหนดนโยบาย  การปฏิบัติ   การตรวจสอบ  การประเมินประสิทธิผล   ซึ่งคงจะต้องตามความเปลี่ยนแปลงในกระแสของโลก  ที่จะกำหนดตัวบ่งชี้  มาตรฐานของทุกสิ่งที่เกิดมาว่า  ควรอยู่ต่อไป”  หรือ  ควรพัฒนาขึ้นไปอีก"  และ
นอกจากนี้จะต้องมี ปัจจัยหลัก คือศรัทธาและปัญญา คือครูต้องมีศรัทธาในอาชีพครู และสร้างศรัทธาในเด็กได้ด้วย และปัญญานั้นครูต้องลับสมองให้คมเสมอ ด้วยการพยายามเรียนรู้และติดตามให้ตัวเองทันสมัยและก้าวหน้า ตลอดจนทำให้ศิษย์ขี้สงสัยให้ได้ เพราะความสงสัยจะทำให้เด็กใฝ่รู้"

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 2 ทฤษฎีการบริหารการศึกษา


ทฤษฏีการบริหารการศึกษา
มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน ได้แก่
1.ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) หมายถึงความต้องการพื้นฐานของร่างกาย
 2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) หมายถึง ความต้องการมั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) หมายถึง ความต้องการที่จะเป็นที่รักของ
 4.ความต้องการยกย่องชื่อเสียง (Esteem Needs) หมายถึง ความปรารถนาที่จะมองตนเองมีคุณค่าสูง     
5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและความสำเร็จของชีวิต(Self–ActualizationNeeds)
    หมายถึง ความต้องการที่จะรู้จักและเข้าใจตนเองตามสภาพที่แท้จริง


มาสโลว์ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับความต้องการมนุษย์ไว้ดังนี้
1. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ
2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมนั้น ๆ อีกต่อไป
3. ความต้องการของมนุษย์จะเรียงกันเป็นลำดับขั้น ตามความสำคัญ


แมคเกรเกอร์ การจัดการจากพื้นฐานของบุคคลของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
1.) Individualism คือ การที่สังคมอเมริกันเป็นสังคมแบบ ปัจเจกบุคคล
2.) Short Term Employment คือ การจ้างงานในระยะสั้น คนอเมริกันมักไม่มีความผูกพันในครอบครัว
3.) Individual Decision Making สูง มีความมั่นใจในการตัดสินใจ กล้าตัดสินใจ

วิลเลี่ยม โอชิ มองเห็นข้อดีและข้อเสียของ 2 ทฤษฎีตัวอย่างซึ่งเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ โดย
1.) ใช้วิธีแบบ Long Term Employment หรือการจ้างงานระยะยาวขึ้น ซึ่งเป็นทางสายกลาง
2.) ประการที่สอง ที่เรียกว่า Individaul Responsibility คือ จะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล
3.) และประการที่ 3 คือ ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินใจต้องทำเป็นทีม


การจัดการ (Managerial activities) ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมห้าอย่างคือ
1. การวางแผน(Planning)                                                
2. การจัดองค์การ(Organizing)
3. การบังคับบัญชา หรือการสั่งการ (Commanding)  
4. การประสานงาน (Coordinating)
5. การควบคุม (Controlling)

อังริ ฟาโยล (Henri Fayol) หลักการจัดการ 14 ประการ (Fayol's Fourteen Principles of Management) 
ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ
1. การจัดแบ่งงาน (division of work)  
2. การมีอำนาจหน้าที่ (authority)
3. ความมีวินัย (discipline)                        
4. เอกภาพของสายบังคับบัญชา (unity of command)
5. เอกภาพในทิศทาง                                
6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผลประโยชน์ส่วนตน
7. มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม           
 8. ระบบการรวมศูนย์ (centralization)
9. สายบังคับบัญชา (scalar chain)         
10. ความเป็นระบบระเบียบ (order)
11. ความเท่าเทียมกัน (equity)               
12. ความมั่นคง และสามัญฐานะของบุคลากร
13. การริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)       
14. วิญญาณแห่งหมู่คณะ (esprit de corps)


แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) โดยสรุปแล้วแนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี 6 ประการมีดังนี้ คือ
1. องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ
2. องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ( Authority Hierarchy)
3. ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ ( Formal Selection)
4. องค์การต้องมีระเบียบ และกฏเกณฑ์ (Formal Rules and Regulations)
5. ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ( Impersonality)
6. การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ (Career Orientation) Luther Gulick : POSDCORB


Luther Gulick   กิจกรรม 7 ประการมีดังนี้
               P คือการวางแผน (planning) หมายถึงการกำหนดเป้าหมายขององค์การว่าควรทำงาน
              O คือการจัดองค์การ (organizing) หมายถึงการจัดตั้งโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการภายในองค์การ
              D คือการสั่งการ (directing) หมายถึง การที่หัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา
              S คือการบรรจุ (staffing) หมายถึง หน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลเพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่
              CO คือการประสานงาน(co-ordinating) หมายถึง หน้าที่สำคัญต่าง ๆ ในการประสานส่วนต่าง ๆ
              R คือการรายงาน (reporting) หมายถึง การรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในองค์การให้ทุกฝ่ายทราบ
เฟรเดอริค เฮิร์ซเบอร์ก (Frederick Herzberg)ได้ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ1.ปัจจัยภายนอก(Hygiene Factors) ได้แก่
* นโยบายขององค์กร * การบังคับบัญชา * ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน * สภาพแวดล้อม/เงื่อนไขในการทำงาน * ค่าจ้าง/เงินเดือน/สวัสดิการ * ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน


2. ปัจจัยภายใน(Motivation Factors) ได้แก่
* การทำงานบรรลุผลสำเร็จ* การได้รับการยอมรับ* ทำงานได้ด้วยตนเอง* ความรับผิดชอบ* ความก้าวหน้าในงาน* การเจริญเติบโต

นอกจากนี้เฮิร์ซเบอร์กยังบอกอีกว่า
1.องค์กรควรจะให้คนทำงานที่ท้าทายอย่างเต็มความสามารถ
2.พนักงานที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ
 3.หากงานไม่มีความท้าทาย


ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุด
 2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายความรับผิดชอบ
 3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ

  
                มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
ความเป็นมาและพัฒนาการบริหาร
          การบริหาร  เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์ซึ่งเรียกตัวเองว่า “Cameralists”ให้คำจำกัดความ  การบริหาร  หมายถึง  การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆ 
   การบริหารการศึกษา  หมายถึง  กิจกรรมต่างๆ  ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ 
ปรัชญาของการศึกษามีอยู่  13  ประการ  คือ
1.ผู้บริหารต้องใช้ความฉลาดไหวพริบมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ
2. ผู้บริหารต้องเปิดให้คนจำนวนมากเข้าร่วมในการทำงาน
3.ผู้บริหารต้องเคารพความเป็นคนของแต่ละคน
4.ผู้บริหารต้องยึดเป้าหมายของการศึกษาเป็นหลักการบริหาร
5.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้ประสานประโยชน์
6.ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้คนเข้าพบทำความเข้าใจกันได้ทุกเมื่อ
7.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้นำ
8. ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองคือนักศึกษาผู้ยึดมั่น
9. ผู้บริหารต้องเสียสละทุกอย่าง
10. ผู้บริหารจะต้องประสานงาน
11.ผู้บริหารจะต้องบริหารงานอยู่เสมอ
12. ผู้บริหารต้องเคารพในวิชาชีพของการบริหาร
13.ผู้บริหารต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ  และแสวงหาความชำนาญ